การตรวจสอบสภาพยางรถก่อนใช้งาน | Thai Drive Exam

การตรวจสอบสภาพยางรถก่อนใช้งาน

06/08/2020 | 2718

ยางรถยนต์ เป็นอวัยวะสำคัญที่เชื่อมต่อรถของคุณกับพื้นถนน การดูแลและตรวจสอบสภาพยางอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ และยืดอายุการใช้งานของยาง

ทำไมต้องตรวจสอบสภาพยาง?

  • ความปลอดภัย: ยางที่สึกหรอหรือมีปัญหา อาจทำให้การยึดเกาะถนนลดลง เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
  • ประหยัดน้ำมัน: ยางที่ลมยางถูกต้อง จะช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
  • ยืดอายุการใช้งาน: การตรวจสอบสภาพยางเป็นประจำ ช่วยให้คุณค้นพบปัญหาและแก้ไขได้ทันท่วงที ทำให้ยางมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น

สิ่งที่ควรตรวจสอบ

  • ความดันลมยาง: ควรตรวจสอบลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง หรือทุกครั้งก่อนออกเดินทาง โดยใช้เครื่องวัดลมยาง และปรับลมยางให้ตรงตามค่าที่ระบุไว้ในคู่มือรถ หรือที่ประตูฝั่งคนขับ
  • ดอกยาง: ใช้เหรียญบาทหรือเครื่องมือวัดดอกยาง เพื่อตรวจสอบความลึกของดอกยาง หากความลึกน้อยกว่า 1.6 มิลลิเมตร ควรเปลี่ยนยางใหม่
  • รอยแตก รอยบาด: ตรวจสอบรอบๆ ยาง รวมถึงแก้มยาง หากพบรอยแตก รอยบาด หรือวัตถุแปลกปลอมติดอยู่ ควรปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญ
  • การสึกหรอของดอกยาง: สังเกตว่าดอกยางสึกหรอแบบสม่ำเสมอหรือไม่ หากสึกหรอไม่สม่ำเสมอ อาจบ่งบอกถึงปัญหาที่เกี่ยวกับระบบช่วงล่าง
  • อายุของยาง: ตรวจสอบอายุของยาง โดยดูที่ตัวเลข 4 หลักบนแก้มยาง 2 หลักแรกคือสัปดาห์ที่ผลิต และอีก 2 หลักคือปีที่ผลิต ยางรถยนต์โดยทั่วไปจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5-6 ปี

วิธีการตรวจสอบเบื้องต้นที่คุณทำได้เอง

  1. เตรียมอุปกรณ์: เครื่องวัดลมยาง เหรียญบาท หรือเครื่องมือวัดดอกยาง
  2. จอดรถบนพื้นราบ: ตรวจสอบลมยางทุกเส้น โดยเริ่มจากยางหน้าซ้าย จากนั้นวนไปตามเข็มนาฬิกา
  3. ตรวจสอบความดันลมยาง: ปลดจุกวาล์วแล้วนำเครื่องวัดลมยางมาวัด หากลมยางน้อยเกินไป ให้เติมลมยางให้ถึงระดับที่กำหนด
  4. ตรวจสอบดอกยาง: ใช้เหรียญบาทสอดเข้าไปในร่องดอกยาง หากมองเห็นขอบเหรียญได้ชัดเจน แสดงว่าดอกยางเหลือน้อยเกินไป
  5. ตรวจสอบรอยแตก รอยบาด: สังเกตดูรอบๆ ยางอย่างละเอียด
  6. บันทึกผลการตรวจสอบ: เพื่อติดตามสภาพยางและนำมาเปรียบเทียบในครั้งต่อไป

 

เติมลมยางน้อยไป

จะทำให้อายุการใช้ยางลดลง บริเวณไหล่ยางจะสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่นๆ เกิดความร้อนสูงที่บริเวณไหล่ยาง ทำให้ผ้าใบหรือเนื้อยางไหม้แยกออกจากกัน โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาด หรือหักได้สิ้นเปลืองนำมันเชื้อเพลิงเนื้อยางบริเวณ หน้ายางจะฉีกขาดได้ง่าย หากวิ่งด้วยความเร็วสูง การ

การเติมลมยางมากเกินไป

จะทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่าย เนื่องจากพื้นที่การยึดเกาะถนนลดลง โครงยาง ระเบิดได้ง่าย เมื่อได้รับแรงกระแทก หรือถูกของมีคม เนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็ม ที่เกิดการยืดหยุ่นตัวได้น้อย ดอกยางจึงสึก บริเวณตอนกลางมากกว่าส่วนอื่นๆอายุ ยางลดลง ความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลง

กรณียางใหม่

ควรเพิ่มความถี่ในการตรวจเช็กลมยางให้มากกว่าปกติ(ในช่วง3,000 กิโลเมตร แรก) เนื่องจากโครงยางในช่วงนี้จะมีการขยายตัว ทำให้ความดันลมยางลดลง ที่สำคัญห้ามปล่อยลมยางออก เมื่อความดันลมยางสูงขึ้น ในขณะกำลังใช้งาน ตามความเชื่อเดิมๆ เพราะความร้อนที่เกิดขึ้นขณะที่ใช้งาน เป็นสาเหตุทำให้ ความดันลมภายในยางสูงขึ้นไม่ใช่ปริมาณลมที่ทำให้เกิดแรงดัน นอกจากนี้ เพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว (จุ๊บ) ควรเปลี่ยนวาล์ว และแกนวาล์วทุกครั้งที่เปลี่ยน ยางใหม่ และมีฝาปิดวาล์วตลอดเวลา เพื่อป้องกันเศษผง ฝุ่น หรือความชื้นซึมผ่าน เข้าภายในยางซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อยางรถยนต์ได้

สิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติม

  • การหมุนยาง: การหมุนยางเป็นประจำ ช่วยให้ยางสึกหรออย่างสม่ำเสมอ
  • การวูบวาบของพวงมาลัย: อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายางมีปัญหา
  • เสียงดังผิดปกติ: เสียงดังขณะขับขี่ อาจเกิดจากยางที่สึกหรอหรือมีวัตถุติดอยู่
  • รถส่าย: หากรถส่ายขณะขับขี่ อาจเกิดจากยางที่ลมยางไม่เท่ากัน หรือยางเสียรูป

การตรวจสอบสภาพยางเป็นประจำ ถือเป็นการดูแลรถยนต์เบื้องต้นที่สำคัญมาก เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่

หมายเหตุ: หากคุณไม่มั่นใจในการตรวจสอบสภาพยางด้วยตัวเอง ควรปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • เลือกยางให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน: เลือกยางที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับสภาพถนนที่คุณใช้เป็นประจำ
  • ตรวจสอบสภาพช่วงล่าง: สภาพช่วงล่างที่ไม่ดี อาจส่งผลต่อการสึกหรอของยางได้
  • รักษาความสะอาดของยาง: ล้างยางเป็นประจำ เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่อาจทำให้ยางสึกหรอเร็วขึ้น